ผู้อ่านต้องพัฒนาการอ่านของตนอยู่เสมอ รู้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการอ่าน และ รู้จักแหล่งความรู้และวัสดุการอ่าน เพื่อสามารถเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ตรงวัตถุประสงค์ของการอ่าน การพัฒนาการอ่านของตนให้มีประสิทธิภาพ ๑) ควรฝึกฝนให้สามารถอ่านแตกฉาน และเข้าใจ ๒) ควรอ่านหนังสือหลายๆประเภท หลายๆเล่ม ทั้งยากและง่าย ๓) ฝึกฝนจนเกิดทักษะในการอ่านจับความคิดรวบยอดของผู้แต่งได้ อ่านแล้วได้แนวคิดใหม่ๆสามารถประเมินค่าข้อความที่อ่านได้ถูกต้อง สมรรถภาพในการอ่านสามารถเพิ่มพูนได้ หากผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน อ่านให้มาก อ่านให้บ่อย อ่านให้แตกฉาน ใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านและไตร่ตรองแล้วไปสนทนาแลกเปลี่ยนแนวคิดกับผู้อื่นหรือนำไปปฏิบัติด้วยวิธีต่างๆ เช่น การพูด การเขียนบันทึก การเขียนทางวิชาการ การเขียนบทความ จะช่วยให้ทักษะการอ่าน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย อ่านแบบสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ไปด้วย การสรุปความ ต้องอาศัยความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ ที่ต้องนำเนื้อหาทุกอย่าง ทั้งที่สัมพันธ์กันและขัดแย้งกัน มารวมและเรียบเรียงให้เป็นหนึ่งเดียว คนที่มีความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ จะสรุปความหนังสือทั้งเล่มออกมาเป็นคำพูดประโยคเดียวได้ ในการอ่านหนังสือ มักจะใช้ประโยคจากการสรุปความหลัก การจับประเด็นการสรุปความหมายถึง การรวบรวมเนื้อเรื่องที่มีอยู่มาย่อให้สั้นลง แล้วสรุปออกมาให้ตรงประเด็น โดยไม่ผิดเพี้ยนไปจากเรื่องเดิม คือสามารถรักษาเนื้อเรื่องเดิมไว้ แล้วดึงประเด็นในนั้นออกมาสั้นๆ ในการย่อหรือสรุปต้องไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย
การสรุปความดังกล่าวถือเป็นความสามารถที่พัฒนาได้ ด้วยการฝึกฝน ตามวิธีต่อไปนี้ 1.อ่านหนังสือพร้อมกับทำเครื่องหมายตรงส่วนสำคัญไปด้วย 2.อ่านหนังสือพร้อมกับทำเครื่องหมายไม่สำคัญตรงส่วนไปด้วย 3.ลองสรุปดูย่อว่าเรื่องเป็นอย่างไร 4.ตรวจสอบดูว่าเราแสดงความคิดเห็นลงไปในเรื่องย่อหรือไม่ 5.ถ้ามีความคิดเห็นส่วนตัวอยู่ในนั้นให้ลบออก อ่านไปยิ้มไป มีนิทานของนักเขียนชาวเยอรมันคนหนึ่ง ชื่อเรื่อง “รอยยิ้มที่ขายไป” ตัวละครเอกชื่อทิม เป็นเด็กชายยากจนผู้มีรอยยิ้มสดใสน่ารัก วันหนึ่งมีปีศาจร้ายตนหนึ่ง มาขอซื้อรอยยิ้มของเขาแลกกับเงินก้อนใหญ่ทิมจึงยอมขายรอยยิ้มให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาชีวิตของทิมก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด เขาจึงออกตามหาปีศาจตนนั้น แต่กว่าจะพบปีศาจและได้รอยยิ้มนั้นคืนมาทิมก็กลายเป็นคนแก่ไปเสียแล้ว แม้นิทานเรื่องนี้จะสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน แต่ก็ช่วยให้เราได้มองเห็นว่า รอยยิ้มมีความสำคัญต่อชีวิตเราอย่างไร อย่างพวกดารานักแสดงคนไหนที่มีรอยยิ้มน่าประทับใจ ฏ็จะมีคนนิยมชมชอบมาก อย่างเช่นหากไปถามสาวญี่ปุ่นว่า “ทำไมถึงชอบดาราเกาหลีที่ชื่อแบยงจุน”มักจะได้รับคำตอบว่า “เพราะเขายิ้มน่า”และยังมีคำกล่าวอีกว่า คนที่พูดไปยิ้มไปมักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูง นอกจากนี้การรับพนักงานเข้าทำงานในบริษัท มักให้ความสำคัญกับคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสก่อน หลักปราชญาตะวันออกเชื่อว่า การยิ้มของคนใช่แต่จะเป็นสิ่งที่น่าดูเท่านั้น แต่ในขณะที่ยิ้มจะมีลมปราณที่ดีเกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งจะช่วยทำให้สิ่งต่างๆรอบตัวเราสดใสขึ้น วิทยาศาสตร์การแพทย์ของทางตะวันตกก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริงความสุขที่เกิดจากการยิ้มจะส่งสัญญาณไปที่สมอง และทำให้สมองตื่นตัวขึ้นโดยฉับพลัน พวกเราเองก็คงเคยมีประสบการณ์บ่อยๆ ว่าการพูดไปยิ้มไปกับการพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง มีผลต่อปฏิกิริยาของผู้ฟังแตกต่างกันอย่างไร นักวิชาการด้านการอ่าน อาศัยเทคโนโลยีและข้อพิสูจน์ดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันกันมานานแล้วว่า การยิ้มช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ซึ่งจะช่วยให้อ่านหนังสือรู้เรื่องขึ้น หากอ่านหนังสือด้วยสีหน้าบึ้งตึงหรือโมโห จะไม่มีสิ่งใดเข้าสู้สมองเลยเพราะถ้าเราโมโหลมปราณจะสะดุด เมื่อเราอ่านหนังสือในขณะเราปราณสะดุดไม่ไหลเวียนไปยังสมอง ก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามีใจที่เป็นสุขลมปราณจะไหลได้สะดวก ทำให้อ่านหนังสือได้ง่ายไปโดยปริยาย เพียงแค่ยิ้มไม่ถึงกับต้องหัวเราะให้เสียงดังลั่น ก็เป็นผลดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว
ทำหน้าตาให้มีความสุข
หมายเหตุ: ถ้ามีเด็กหน้าตาบูดบึ้ง ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ แล้วจับมือเข |