ในช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยน โดยเฉพาะอากาศที่หนาวเย็น และบางพื้นที่อาจเย็นลงเฉียบพลัน ทำให้อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยสภาพอากาศที่เย็นลงอาจทำให้ร่างกายป่วยง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้อากาศเย็นยังเหมาะแก่การแพร่กระจายของไวรัสมากที่สุด เมื่อถึงฤดูหนาวต้องระวังโรคที่อาจเกิดขึ้น จนทำให้คุณเจ็บป่วย วันนี้เราได้รวบรวมโรคแฝงที่มักจะมาในหน้าหนาว เพื่อให้ทุกคนได้รู้และเตรียมพร้อมรับมือกับโรคเหล่านี้กันครับ
โรคปอดบวม (Pneumonia) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไรรัส เมื่อปอดติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวมาที่เซลล์ปอด และเกิดปฏิกิริยาจากการทำลายเชื้อโรค ทำให้เซลล์ปอดบวมใหญ่ขึ้น เป็นที่มาของคำว่า “ปอดบวม” โดยโรคปอดบวมเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย โดยจะพบมากในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สาเหตุ :
โรคปอดบวมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อที่พบจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุ และสภาพแวดล้อมที่เกิดโรค เช่น ได้รับเชื้อจากที่ชุมชนทั่วไป หรือจากภายในโรงพยาบาล โดยสามารถติดต่อได้จากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศเข้าไป
อาการ :
โดยปกติจะมีอาการไอ เสมหะ เหนื่อยหอบ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจลำบาก มีไข้สูง และถ้าเกิดหลอดลมภายในปอดตีบก็อาจได้เกิดเสียงหายใจวี๊ด (wheeze) เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา อาการอาจจะสั้นเพียง 1-3 วันหรือ 1 สัปดาห์ หากไม่รีบรักษาหรือร่างกายไม่แข็งแรงอาจติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น ระบบหายใจล้มเหลว ติดเชื้อในกระแสเลือด หรืออาจจะเสียชีวิตเลยก็ได้
วิธีรักษา :
การรักษานั้นต้องดูว่าผู้ป่วยได้รับเชื้อชนิดใด และความรุนแรงของอาการ ซึ่งเป้าหมายในการรักษา คือการฟื้นฟูอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนซึ่งจะทำให้อาการของปอดบวมทรุดลงได้ รักษาได้โดยให้ยาฆ่าเชื้อในรูปแบบยากินและยาฉีด โดยแพทย์จะพิจารณาจากระดับความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปหลังจากได้รับยาฆ่าเชื้อ อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ส่วนโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการรักษาจะพิจารณาตามอาการ เน้นให้คนไข้ดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ
วิธีป้องกัน : แม้ว่าภาวะปอดบวมส่วนมากจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น แต่ผู้ป่วยก็ควรรักษามาตรฐานสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค การใช้ชีวิตอย่างถูกสุขอนามัยจะช่วยป้องกันการเป็นโรคปอดบวมได้ โดยให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด หลีกเลี่ยงควันไฟ หรือควันบุหรี่ ดูแลให้ความอบอุ่นร่างกายอยู่เสมอ โดยใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ในเวลาที่อากาศเย็น และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่ และเพียงพอ
โรคอีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใส ๆ ทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นได้บ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี อย่างไรก็ตามสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป สามารถพบได้ตลอดทั้งปี
สาเหตุ :
เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชี่อว่า Varicella-Zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรค "งูสวัด" ที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคโดยตรง ทางน้ำลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป โดยทั่วไปมักพบการระบาดในช่วงฤดูหนาว แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก
อาการ :
จะมีไข้ต่ำ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ปวดศีรษะ เจ็บคอ อยากอาหารลดลง จากนั้นจะเกิดผื่นเป็นจุดแดง ๆ ตามร่างกาย ทั้งใบหน้า หน้าอก หลัง ปาก เปลือกตา ลักษณะของผื่นเริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นราบสีแดงขนาดเล็ก ๆ ก่อน ในอีก 2-3 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูนและตุ่มน้ำใสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มีฐานสีแดงอยู่โดยรอบ ตุ่มใสมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัน และภายใน 24 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น มีขนาดใหญ่ขึ้นและแตกได้ง่าย แล้วจะฝ่อหายไปหรือกลายเป็นสะเก็ด ซึ่งสะเก็ดมักจะหลุดหายไปภายใน 7-10 วัน
วิธีรักษา :
แพทย์จะรักษาโรคอีสุกอีใสในลักษณะประคับประคองตามอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรคให้ดีขึ้น ถ้ามีอาการคันมากก็ให้กินยาแก้แพ้อย่าง Chlorpheniramine หรือให้ทายาแก้ผดผื่นคันอย่าง Calamine lotion ถ้ามีไข้สูงก็ให้กินยาพาราเซตามอล เป็นต้น
วิธีป้องกัน : โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส เข้าใต้ผิวหนัง โดยแนะนำให้ฉีดได้ตั้งแต่เด็กมีอายุ 1 ปี หรือในช่วงอายุ 12-18 เดือน ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใสโดยตรง
โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea) เป็นการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่าปกติ จำนวน 3 ครั้งต่อวันหรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูก หรือมูกปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 วัน ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงหายได้เอง แต่ถ้ามีอาการรุนแรงจะเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ผู้ป่วยอาจถึงแก่กรรมโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
สาเหตุ :
หากเป็นชนิดเฉียบพลัน มีอุจจาระร่วงน้อยกว่า 14 วัน โดยมีสาเหตุจากการติดเชื้อ ไวรัส บิด ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค มาลาเรีย พยาธิบางชนิด ได้รับสารพิษจากเชื้อโรค โดยการรับประทานอาหารที่มีสารพิษ จากสารเคมีพวกตะกั่ว สารหนู ไนเตรท ยาฆ่าแมลง เกิดจากยาถ่าย ยาลดกรด ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรค เกาต์ (Colchicine) รับประทานเห็ดพิษ กลอย เป็นต้น
อาการ :
มีไข้ ปวดท้อง และอุจจาระร่วง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระอาจพบเยื่อมูกและมีเลือดปน อาการหนาวสั่น เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด เลือดจาง ตับและม้ามโต อาจมีอาการทางสมอง เด็กอาจมีอาการชักและซึม หากเกิดจากอหิวาตกโรคจะถ่ายเป็นน้ำซาวข้าว หากเป็นรุนแรงอาจมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
วิธีรักษา :
สิ่งสำคัญในการรักษาคือ การให้น้ำและเกลือแร่เพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสียไป ป้องกันและแก้ไขภาวะขาดน้ำ หากมีอาการไม่รุนแรงมาก อาจให้ดื่มน้ำเกลือแร่ โดยละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ใส่น้ำแล้วดื่ม สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก มีภาวะขาดน้ำรุนแรง แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
วิธีป้องกัน : ล้างมือให้สะอาด ดื่มน้ำสะอาด ถ้าเป็นน้ำต้มสุกที่เก็บในขวดหรือภาชนะที่สะอาด ปิดสนิท จะดีที่สุด เลือกรับประทานอาหารที่สะอาดสุกใหม่ๆ ไม่ควรรับประทานอาหารที่สุกๆ ดิบๆ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หากจะเก็บอาหารที่เหลือจากการรับประทานหรืออาหารสำเร็จรูปที่ชื้อไว้ ควรเก็บไว้ในตู้เย็นและอุ่นให้เดือดทั่วถึงทุกครั้งก่อนรับประทานl ผักหรือผลไม้ ก่อนรับประทานให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง
เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม เป็นท่อที่นำลมเข้าสู่ปอด ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวมและมีเสมหะที่หลอดลม นำมาสู่อาการทางระบบหายใจต่างๆ โดยพัฒนามาจากโรคไข้หวัดหรือการติดเชื้อที่เกี่ยวกับการหายใจ
สาเหตุ :
โรคหลอดลมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากแบคทีเรียและไวรัส แต่โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุ ได้แก่ Influenza Virus, Adenovirus, Rhinovirus บางรายอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycoplasma หรือ Chlamydia ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่หรืออยู่กับคนที่สูบบุหรี่บ่อยๆ รวมไปถึงมลภาวะ ฝุ่น อากาศเป็นพิษต่างๆ สิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันทั้งที่บ้านและที่สาธารณะ
อาการ :
เริ่มด้วยการเป็นหวัด ครั่นเนื้อตัว อาจมีไข้หรือไม่มีไข้ก็ได้ มีน้ำมูก แสบคอ หากเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอกพร้อมกับมีเสมหะในคอ และมีอาการไอ หายใจลำบาก
วิธีรักษา :
โดยส่วนใหญ่หลอดลมอักเสบสามารถหายใจได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์โดยไม่ต้องรับการรักษา ผู้ป่วยจะต้องดื่มน้ำปริมาณมากๆและพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจให้การรักษาเพิ่มเติมได้แก่ ยาปฏิชีวนะ การักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้ยาต่างๆ ยาแก้ไอเพื่อละลายเสมหะ การให้ยาแก้แพ้ และยาขยายหลอดลม
วิธีป้องกัน : หลอดลมอักเสบสามารถหายเองได้ในเวลาอันสั้น โดยผู้ป่วยต้องดูแลตัวเอง เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ได้แก่ ความเครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือต้องสัมผัสอากาศที่เย็นมาก ๆ ระมัดระวังคนรอบข้างที่เป็นโรคซึ่งอาจแพร่เชื้อให้ได้ พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยระบายเสมหะ หลีกเลี่ยงน้ำเย็น งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงที่ที่มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมากๆ
เป็นภาวะอักเสบของผิวหนังที่เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุและหลายรูปแบบ ส่วนมากมักมีผื่นคัน บวม หรือแดงตามผิวหนัง นอกจากนี้ บางชนิดอาจเกิดเป็นแผลพุพอง มีน้ำหนอง หรือตกสะเก็ดร่วมด้วย โดยภาวะผิวหนังอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเซบเดิร์ม และผื่นระคายสัมผัส
สาเหตุ :
เมื่ออากาศเย็น ผิวจะมีความชื้นน้อยและแห้ง อาจเกิดปัญหาผิวแห้งหยาบ เป็นขุยหรือแตก ซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อความรำคาญ เพราะเมื่อผิวแห้งมากจะยิ่งรู้สึกคัน หากดูแลไม่ดี อาจลุกลามเกิดเป็นแผลและติดเชื้ออักเสบได้
อาการ :
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิของอากาศเริ่มต่ำลง อากาศเย็นและแห้ง ทำให้ผิวหนังแห้ง ลอก หยาบกร้าน มากกว่าปกติ ซึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาในผู้สูงอายุที่มีภาวะผิวแห้งอยู่แล้ว และในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังจะทำให้อาการกำเริบ เช่น คัน แห้งแสบแดง โรคผิวหนังที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาวได้แก่ โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการที่ผิวหนังแห้ง ภาวะผิวแห้ง อาจทำให้เกิดผื่นคัน พบมากในเด็ก ผู้สูงอายุ เนื่องจากผิวที่แห้งทำให้ไวต่อการระคายเคืองต่อน้ำ สบู่ หรือสารเคมีต่าง ๆ มักถูกกระตุ้นจากการอาบน้ำอุ่น ทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น
วิธีรักษา :
การรักษาจะเน้นไปที่การป้องกันและบรรเทาอาการคันให้ทุเลาลง ภาวะผิวหนังอักเสบส่งผลให้ผิวแห้งและคัน เมื่อเกามากๆ จึงอาจเกิดเป็นแผลและนำไปสู่การติดเชื้อที่ผิวหนัง เบื้องต้นสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังด้วยการรักษาด้วยตนเองแล้ว แพทย์แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย เช่น ยาไฮโดรคอร์ติโซน ยาแก้แพ้ Diphenhydramine,Corticosteroids ทั้งนี้ควรเลือกการรักษาให้เหมาะสมกับภาวะของโรค
วิธีป้องกัน : รักษาความชุ่มชื้นทั้งภายในและภายนอก เน้นดื่มน้ำและน้ำผลไม้ให้มากขึ้น เปลี่ยนวิธีการอาบน้ำโดยลดอุณหภูมิน้ำให้ไม่ร้อนเกิน 34 องศาเซลเซียส ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ หากมีผิวแห้งมากๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนาน และหากผิวหนังแห้ง อักเสบรุนแรง หรือคันมากๆ ให้รีบพบแพทย์
หนาวจนป่วยก็ไม่หวั่น เพราะมีฟินชัวรันส์อยู่ข้างๆ การเตรียมตัวรับมือโรคที่แฝงในหน้าหนาว จึงควรรู้จักวิธีป้องกันและดูแลในเบื้องต้น เช่น รับประทานอาหารที่สุกสะอาด รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และมีประโยชน์ ใช้ช้อนกลาง ล้างมือให้เป็นนิสัย สวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อของผู้อื่น แบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ก็ถือว่ายังมีความจำเป็นอยู่ นอกจากนี้ควรดูร่างกายมากเป็นพิเศษ ทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ที่สำคัญหากมีประกันสุขภาพติดตัวไว้ย่อมอุ่นใจกว่า อย่างประกันสุขภาพ แมนูไลฟ์ ฟินชัวรันส์ ที่คุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย สูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อปี ให้ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกไม่จำกัดครั้ง สูงสุดถึง 50,000 บาทต่อปี และให้ค่าห้องสูงสุดถึง 9,000 บาทต่อวัน หนาวจนป่วยก็ไม่หวั่น เพราะมีฟินชัวรันส์อยู่ข้างๆ
สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Manulife finsurance ได้ที่ https://www.manulife.co.th/finsurance/